1.วิทยาศาสตร์เปลี่ยน CO2 ให้กลายเป็น ‘หิน’ ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน
กิจกรรมของมนุษย์ปล่อย ‘คาร์บอนไดออกไซด์’ (CO2) ปริมาณมหาศาลจนธรรมชาติต้องขอบายไปซดน้ำใบบัวบก แม้เราสามารถพัฒนาวิทยาการเพื่อลดการปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้แล้ว แต่ค่าใช้จ่ายยังโขอยู่ แล้วเรามีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม?
ถ้าอย่างนั้นก็ฝังให้กลายเป็น ‘หิน’ ซะเลยสิ! ทีมนักวิจัยนานาชาติพยายามศึกษาความเป็นไปได้ โดยการปั้ม CO2 ลงไปในชั้นใต้ดินและเปลี่ยนสารองค์ประกอบมันเสียหน่อย ซึ่ง CO2 จะกลายเป็นของแข็งโดยใช้เวลาไม่กี่เดือน ทำให้การจัดการกากของเสียจากโรงไฟฟ้าเป็นไปได้อย่างปลอดภัยและรบกวนธรรมชาติน้อยที่สุด
โครงการนี้ใช้ชื่อรหัสว่า CarbFix ทดลองติดตั้งในโรงไฟฟ้า Hellisheidi โดยปั้มลงไปชั้นหินบะซอลภูเขาไฟใต้โรงงานนี้เอง เมื่อหินบะซอลทำปฏิกิริยากับ CO2 และน้ำ ตะกอนคาร์บอนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวมีความแข็ง ไม่ซึมขึ้นมาบนผิวดิน ไม่ละลายน้ำ ตัดปัญหาการปนเปื้อนสภาพแวดล้อมแบบโล่งอกโล่งใจ
ทีมนักวิทยาศาสตร์พบ ‘คลื่นความโน้มถ่วง’ (Gravitational Wave) เป็นครั้งที่ 2 ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน! เป็นที่ยืนยันแล้วว่า หอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วง ‘LIGO’ สามารถตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงได้อีกเป็นครั้งที่ 2 เพื่อยืนยันว่า ปรากฏการณ์ ‘หลุมดำชนกัน’ ในเอกภพ อาจเกิดถี่กว่าที่คิด!
2.ครั้งแรกอาจจะ ‘ฟลุก’ แต่ครั้งที่สอง ‘ชัวร์แท้แน่นอน’
ทีมนักวิทยาศาสตร์พบ ‘คลื่นความโน้มถ่วง’ (Gravitational Wave) เป็นครั้งที่ 2 ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน! เป็นที่ยืนยันแล้วว่า หอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วง ‘LIGO’ สามารถตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงได้อีกเป็นครั้งที่ 2 เพื่อยืนยันว่า ปรากฏการณ์ ‘หลุมดำชนกัน’ ในเอกภพ อาจเกิดถี่กว่าที่คิด!
เช่นเดียวกันกับการค้นพบครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์ตรวจจับ ‘หลุมดำ’ (Black hole) 2 ดวงหมุนรอบกันด้วยความเร็วสูง วนหลายรอบในหนึ่งวินาที ก่อนที่จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งกระบวนการนี้จะปล่อยคลื่นแรงโน้มถ่วงพลังมหึมาด้วยความเร็วแสง กางคลื่นออกเหมือนวงน้ำเมื่อ 1.4 พันล้านปีก่อนที่มนุษย์จะค้นพบปรากฏการณ์ที่ว่าเมื่อ 25 ธันวาคมปีที่แล้ว
การตรวจจับครั้งที่ 2 ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์มั่นใจมากขึ้น และอาจทำให้เรารู้จักความหลากหลายของหลุมดำที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วจักรวาล
หางไดโนเสาร์ที่เต็มไปด้วยขนปกคลุม ถูกเก็บรักษาอย่างสวยงามในผลึกอำพัน อาจเป็นการค้นพบทางบรรพชีวินที่น่าตื่นตาที่สุดของปีนี้
นักวิจัยพบ ‘ฟอสซิลแบคทีเรีย’ ในแอฟริกาใต้ ที่สามารถสืบค้นอายุได้กว่า 2.52 พันล้านปี หรือก่อนที่โลกจะมีออกซิเจนในชั้นบรรยากาศเสียอีก แทนที่มันจะต้องการออกซิเจน (ซึ่งในยุคนั้นไม่มี) เหมือนสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์อื่นๆ แบคทีเรียรุ่นบุกเบิกกลับใช้กำมะถัน หรือ ‘ซัลเฟอร์’ ในการดำรงชีวิต ซึ่งตอกย้ำข้อสันนิฐานว่า สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่บนโลกได้ แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ออกซิเจนเพียง 1 ใน 1000 หากเทียบกับปัจจุบัน
มนุษย์ยุคบุกเบิกมีชีวิตเมื่อ 800,000 ปีก่อน ควบคุมไฟครั้งแรกได้ในถ้ำของพวกเขาเอง การค้นพบล่าสุดของทีมนักบรรพชีวินจากมหาวิทยาลัย Murcia ในสเปน พบหลักฐานสำคัญที่ชี้ชัดว่ามนุษย์พยายามก่อไฟและมีทักษะการใช้ประโยชน์จากความร้อนซึ่งสามารถย้อนเวลากลับไปราว 1 ล้านปีที่แล้ว
3.พบหางไดโนเสาร์ขนดกๆ ในอำพัน เปิดพื้นที่ความรู้ใหม่ระหว่างไดโนเสาร์และนก
หางไดโนเสาร์ที่เต็มไปด้วยขนปกคลุม ถูกเก็บรักษาอย่างสวยงามในผลึกอำพัน อาจเป็นการค้นพบทางบรรพชีวินที่น่าตื่นตาที่สุดของปีนี้
ชิ้นส่วนอำพันถูกค้นพบในประเทศเมียนมา ซึ่งถูกขายแบบยกเข่งรวมๆ กับอำพันพืชโบราณ แต่ไม่พ้นสายตาของนักบรรพชีวินชาวจีน Lida Xing จากมหาวิทยาลัย China University of Geoscience ที่จำสัณฐานขนไดโนเสาร์โบราณที่ติดอยู่ในยางไม้ได้
ทีมนักวิจัยใช้เทคโนโลยี CT ในการวิเคราะห์โครงสร้างขนและกระดูก สามารถบ่งชี้ทางลักษณะได้ว่า เจ้าของเก่าคือไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดเล็ก ที่มีรูปร่างเหมือนนก Coelurosaur มีชีวิตอยู่ราว 99 ล้านปีก่อน ในช่วงยุคครีเทเชียส ซึ่งเป็นช่วงยุคปลายของจักรวรรดิไดโนเสาร์ จากความซับซ้อนของขนที่วิวัฒนาการอยู่ใน Stage 5 คล้ายขนนกในปัจจุบัน
หากจะเรียกว่า ‘ขนนก’ ก็ไม่ถูกนัก เพราะ ไดโนเสาร์ต่างหาก คือต้นตำหรับวิวัฒนาการขนอย่างแท้จริง
4. พบ ‘แบคทีเรีย’ เก่าแก่ที่สุดในโลก 5 พันล้านปี ก่อนที่โลกจะมีออกซิเจนซะอีก
นักวิจัยพบ ‘ฟอสซิลแบคทีเรีย’ ในแอฟริกาใต้ ที่สามารถสืบค้นอายุได้กว่า 2.52 พันล้านปี หรือก่อนที่โลกจะมีออกซิเจนในชั้นบรรยากาศเสียอีก แทนที่มันจะต้องการออกซิเจน (ซึ่งในยุคนั้นไม่มี) เหมือนสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์อื่นๆ แบคทีเรียรุ่นบุกเบิกกลับใช้กำมะถัน หรือ ‘ซัลเฟอร์’ ในการดำรงชีวิต ซึ่งตอกย้ำข้อสันนิฐานว่า สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่บนโลกได้ แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ออกซิเจนเพียง 1 ใน 1000 หากเทียบกับปัจจุบัน
ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย Cincinnati พบว่า เจ้าแบคทีเรียใช้ซัลเฟอร์ในการทำปฏิกิริยาออกซิเดชัน มีขนาด ‘ใหญ่เบิ้ม’ พอสมควร แม้มันจะอยู่ในสภาวะไร้ออกซิเจนก็ตาม โครงสร้างคล้ายแบคทีเรียปัจจุบันที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Thiomargarita namibiensis ซึ่งมีขนาด 750 ไมครอน (0.75 มิลลิเมตร)
และสามารถยืนยันได้ว่า สิ่งมีชีวิตแรกๆ อย่างแบคทีเรียมีชีวิตอย่างน้อย 2.52 พันล้านปี ทำให้พวกเรามีความหวังที่จะพบ ‘สิ่งมีชีวิต’ บนดวงดาวอื่น แม้จะไม่มีออกซิเจนอยู่ก็ตาม
5.พบหลักฐานการก่อไฟครั้งแรกของมนุษย์
มนุษย์ยุคบุกเบิกมีชีวิตเมื่อ 800,000 ปีก่อน ควบคุมไฟครั้งแรกได้ในถ้ำของพวกเขาเอง การค้นพบล่าสุดของทีมนักบรรพชีวินจากมหาวิทยาลัย Murcia ในสเปน พบหลักฐานสำคัญที่ชี้ชัดว่ามนุษย์พยายามก่อไฟและมีทักษะการใช้ประโยชน์จากความร้อนซึ่งสามารถย้อนเวลากลับไปราว 1 ล้านปีที่แล้ว
ทีมสำรวจเริ่มงานขุดเจาะถ้ำในสเปนตั้งแต่ปี 2011 พวกเขาพบหินที่ถูกสกัดด้วยความร้อน 165 ชิ้น พร้อมกับซากกระดูกสัตว์จำนวนมากที่ปรากฏร่องรอยการเผา เมื่อวิเคราะห์ทางเคมีพบว่ากระดูกถูกเผาด้วยความร้อนที่ 400 – 600 องศาเซลเซียส จึงสันนิษฐานได้ว่า มนุษย์ในยุคบรรพกาลใช้ไฟในการปรุงอาหารแบบหยาบๆเป็นแล้ว และทีมสำรวจยังพบเครื่องมือหินที่น่าจะเป็นตัวจุดประกายไฟขนาดเหมาะมือ พร้อมๆกับเชื้อจุดไฟจำนวนมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น